วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

temple to hatshepsut ฟาร์หญิงฮัทเซปซุต

temple to hatshepsut  ฟาร์หญิงฮัทเซปซุต


ตามโบราณสถานต่าง ๆ รูปแกะสลักขององค์ฟาโรห์จะใหญ่มหึมาส่วนขององค์ราชินีที่ยืนเคียงคู่นั้นมีขนาดเล็กนิดเดียว โดยทั่วไปซุกอยู่แถว ๆ หน้าแข้งขององค์ฟาโรห์ทำให้ทราบไปถึงฐานะของสตรีอียิปต์โบราณช่างต่ำต้อยเหลือเกิน มีสิทธิ์ไม่เท่าเทียมชายผู้หญิงสี่คน แหวกโค้งประเพณีขึ้นไปนั่งบัลลังก์หนึ่งนั้นคือคลีโอพัตรา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรุงโรมอีกสองเป็นแค่ประเดี๋ยว เดียว ไม่ถึง10 วันแต่กรณีของพระนางฮัตเซปสุตแตกต่างจากคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิงพระนางได้ขึ้นครองราชย์ด้วยความสามารถของตนเองทั้งได้รับความเห็นชอบ จากขุนนางฝ่ายศาสนจักร และ ทหาร ทรงเก่งทั้งด้านศิลปะ การพาณิชย์ให้อยู่ในฐานันดรศักดิ์ ฟาโรห์หญิงองค์แรก และ องค์เดียวของปฐพี อียิปต์โบราพระราชบิดาของเจ้าหญิงฮัตเซปสุต คือ ธุตโมสที่ 1ทรงเป็นฟาโรห์จอมยุทธในรัชสมัยของ ธุตโมสที่ 1 ทรงทำสงครามขยายดินแดนออกไปกว้างไกลและในปลายรัชสมัยของพระองค์ทรงมองเห็นความสามารถปราดเปรื่องในพระราชธิดาองค์นี้อีกทั้งพระนางประสูติจากอัครมเหสีซึ่งมีสิทธิ์เต็มที่ อันที่จะขึ้นครองราชย์เป็นราชินีร่วมกับเจ้านายในราชวงศ์ใกล้ชิดอีกองค์ ธุตโมสที่ 1 จึงทรงแต่งตั้งให้เจ้าหญิงฮัตเซปสุตได้นั่งบัลลังก์ร่วมกับ พระองค์ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนอย่างสุดกำลังโดยกฎการสืบสันตติวงศ์ของอียิปต์โบราณฟาโรห์ และ ราชินีจะต้องสืบสายโลหิตเดียวกัน แต่เนื่องจากอนุชาทั้งสองของเจ้าหญิง ฮัตเซปสุตสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ผู้ที่จะอภิเษกสมรสกับพระนาง และ ขึ้นดำรงตำแหน่งฟาโรห์จึงได้แก่โอรสของธุตโมสที่ 1 ที่ประสูติ จากพระชายารอง พอได้ขึ้นครองราชย์จึงได้เป็นธุตโมสที่ 2ร่วมกับพระนางฮัตเซปสุตผู้เป็น ราชินีธุตโมสที่ 2 ทรงเป็นบุคคลอ่อนแอทั้งทางกาย และ ใจ พระนางฮัทเซปซุท ทรงรัก และ สงสารน้ององค์นี้มากทรงให้ดูแลอย่างดีแต่หลังจากนั่งบัลลังก์ได้ราว 8 ปี ธุตโมสที่ 2 ก็สิ้นพระชนม์แต่เนื่องจากกฎมณเฑียรบาล ไม่ยอมให้สตรีขึ้นครองราชย์ตามลำพัง พระนางก็ไม่มีพระโอรสจึงเห็นว่าโอรสของธุตโมสที่ 2 ที่ประสูติจากนางสนมชั้นผู้น้อย ซึ่งขณะนั้นมีพระชนม์เพียง 10 ชันษาเป็นผูที่เหมาะสมกับตำแหน่งฟาโรห์มากที่สุดแต่เนื่องด้วยธุตโมสที่ 3 ยังเยาว์พระชันษาแรก ๆ พระนางฮัตเซปสุตทรงอยู่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแต่ต่อมาเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่ เข้าทางก็ให้ทรงมอบอำนาจให้ ธุตโมสที่ 3 ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งนักบวชของจอมเทพอามอน และพระนางเองก็เสด็จขึ้นเป็นฟาโรห์ผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการ ปกครองราชอาณาจักรทั้งอียิปต์บน และ ล่าง ฮัตเซปสุตขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความรู้สึกยินดีของข้าราชสำนักเพราะทรงสะสมอำนาจมาตั้งแต่ ปลายรัชสมัยของพระราชบิดา ทุกฝ่ายเป็นสมัครพรรคพวกของพระนางและพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ มีแต่ประชาราษฎร์ที่นึกแปลกใจเพราะไม่เคย เห็นสตรีคนไหนกล้าประกาศตัวครองราชย์เป็นฟาโรห์แต่ผู้เดียว อย่างเก่งที่สุดก็ร่วมบัลลังก์กันโดยอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่องค์ฟาโรห์เพิ่งจะมีครั้งนี้ แหละที่ฮัตเซปสุตตัดสินพระทัยในสิ่งที่คนทั่วไปไม่คิดว่าจะทรงกระทำนั่นคือเวลาเสด็จออกประทับบนบัลลังก์ในท้องพระโรง ราชินีฮัตเซปสุตที่เคยงามอย่างสตรีเพศก็แปลงโฉมจนแทบจำไม่ได้ ไม่ว่าฉลองพระองค์ สวมมงกุฎแฝด ของอียิปต์ตอนบน และ ล่างมีคฑาในพระหัตถ์ ฯลฯสิ่งเหล่านี้ล้วนนำความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น แต่ไม่เท่ากับราชินีของพวกเค้าทรงมีเครายาวลงมาถึงหน้าอก ผู้ที่แต่งองค์ครบเครื่องเช่นนนี้ได้จะต้องมีเพียงหนึ่งเดียวบนแผ่นดินอียิปต์เท่านั้นคือองค์ฟาโรห์หลังจากจัดระบบภายในเรียบร้อยแล้วฮัตเซปสุตก็เริ่มทรงงานพาณิชย์ และ งานต่างประเทศซึ่งลือกันว่าถนัดที่สุดทรงส่งคณะไปสำรวจ ชายฝั่งทะเลแดง จนถึงอาณาจักรพันต์ (ปัจจุบันคือประเทศโซมาเลีย) ซึ่งร่ำรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และนำเอาทองคำ หนังสัตว์ งาช้าง ลิงบาบูน ไม่เนื้อแข็ง ฯลฯ กลับมายังอียิปต์นอกจากนี้ยังส่งคณะทูตเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆที่พระราชบิดาทรงตีได้ ทำให้ได้รับ เครื่องราชบรรณาการมากมายเมื่อเศรษฐกิจดีข้นงานชิ้นแรกคือ ฟื้นฟูบูรณะซากปรักหักพังที่เกิดจากสงครามกู้อิสรภาพจากฮิกซอส ซึ่งได้จัดตั้งราชวงศ์ที่ 15และครอบครองอียิปต์กว่าหนึ่งร้อยปีเจ้านายอียิปต์รวบรวมกำลังขับไล่กษัตริย์ชาวฮิกซอสไป และสถาปนาราชวงศ์ที่ 18พร้อมกับการเริ่มยุค อาณาจักรใหม่หลังจากนั้นก็ทรงสร้างวิหารขนาดใหญ่อุทิศแก่พระราชบิดาที่คาร์นัคสร้างวิหารแบบเจาะเข้าไปในหน้าผาที่เบนอี ฮัสซัน อยู่ตอนกลางของประเทศทว่างานสถาปัตยกรรมในสมัยของพระนางที่เด่นเป็นสง่า และ ครอบครองความอันเป็นเอกมาจนถึงทุกวันนี้ ได้แก่วิหารประกอบพิธีศพที่ดาร์อี อัล บาห์รี ซึ่งอยู่ในเขต "นครแห่งความตาย"



ตามโบราณสถานต่าง ๆ รูปแกะสลักขององค์ฟาโรห์จะใหญ่มหึมาส่วนขององค์ราชินีที่ยืนเคียงคู่นั้นมีขนาดเล็กนิดเดียว โดยทั่วไปซุกอยู่แถว ๆ หน้าแข้งขององค์ฟาโรห์ทำให้ทราบไปถึงฐานะของสตรีอียิปต์โบราณช่างต่ำต้อยเหลือเกิน มีสิทธิ์ไม่เท่าเทียมชายผู้หญิงสี่คน แหวกโค้งประเพณีขึ้นไปนั่งบัลลังก์หนึ่งนั้นคือคลีโอพัตรา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรุงโรมอีกสองเป็นแค่ประเดี๋ยว เดียว ไม่ถึง10 วันแต่กรณีของพระนางฮัตเซปสุตแตกต่างจากคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิงพระนางได้ขึ้นครองราชย์ด้วยความสามารถของตนเองทั้งได้รับความเห็นชอบ จากขุนนางฝ่ายศาสนจักร และ ทหาร ทรงเก่งทั้งด้านศิลปะ การพาณิชย์ให้อยู่ในฐานันดรศักดิ์ ฟาโรห์หญิงองค์แรก และ องค์เดียวของปฐพี อียิปต์โบราพระราชบิดาของเจ้าหญิงฮัตเซปสุต คือ ธุตโมสที่ 1ทรงเป็นฟาโรห์จอมยุทธในรัชสมัยของ ธุตโมสที่ 1 ทรงทำสงครามขยายดินแดนออกไปกว้างไกลและในปลายรัชสมัยของพระองค์ทรงมองเห็นความสามารถปราดเปรื่องในพระราชธิดาองค์นี้อีกทั้งพระนางประสูติจากอัครมเหสีซึ่งมีสิทธิ์เต็มที่ อันที่จะขึ้นครองราชย์เป็นราชินีร่วมกับเจ้านายในราชวงศ์ใกล้ชิดอีกองค์ ธุตโมสที่ 1 จึงทรงแต่งตั้งให้เจ้าหญิงฮัตเซปสุตได้นั่งบัลลังก์ร่วมกับ พระองค์ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนอย่างสุดกำลังโดยกฎการสืบสันตติวงศ์ของอียิปต์โบราณฟาโรห์ และ ราชินีจะต้องสืบสายโลหิตเดียวกัน แต่เนื่องจากอนุชาทั้งสองของเจ้าหญิง ฮัตเซปสุตสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ผู้ที่จะอภิเษกสมรสกับพระนาง และ ขึ้นดำรงตำแหน่งฟาโรห์จึงได้แก่โอรสของธุตโมสที่ 1 ที่ประสูติ จากพระชายารอง พอได้ขึ้นครองราชย์จึงได้เป็นธุตโมสที่ 2ร่วมกับพระนางฮัตเซปสุตผู้เป็น ราชินีธุตโมสที่ 2 ทรงเป็นบุคคลอ่อนแอทั้งทางกาย และ ใจ พระนางฮัทเซปซุท ทรงรัก และ สงสารน้ององค์นี้มากทรงให้ดูแลอย่างดีแต่หลังจากนั่งบัลลังก์ได้ราว 8 ปี ธุตโมสที่ 2 ก็สิ้นพระชนม์แต่เนื่องจากกฎมณเฑียรบาล ไม่ยอมให้สตรีขึ้นครองราชย์ตามลำพัง พระนางก็ไม่มีพระโอรสจึงเห็นว่าโอรสของธุตโมสที่ 2 ที่ประสูติจากนางสนมชั้นผู้น้อย ซึ่งขณะนั้นมีพระชนม์เพียง 10 ชันษาเป็นผูที่เหมาะสมกับตำแหน่งฟาโรห์มากที่สุดแต่เนื่องด้วยธุตโมสที่ 3 ยังเยาว์พระชันษาแรก ๆ พระนางฮัตเซปสุตทรงอยู่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแต่ต่อมาเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่ เข้าทางก็ให้ทรงมอบอำนาจให้ ธุตโมสที่ 3 ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งนักบวชของจอมเทพอามอน และพระนางเองก็เสด็จขึ้นเป็นฟาโรห์ผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการ ปกครองราชอาณาจักรทั้งอียิปต์บน และ ล่าง ฮัตเซปสุตขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความรู้สึกยินดีของข้าราชสำนักเพราะทรงสะสมอำนาจมาตั้งแต่ ปลายรัชสมัยของพระราชบิดา ทุกฝ่ายเป็นสมัครพรรคพวกของพระนางและพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ มีแต่ประชาราษฎร์ที่นึกแปลกใจเพราะไม่เคย เห็นสตรีคนไหนกล้าประกาศตัวครองราชย์เป็นฟาโรห์แต่ผู้เดียว อย่างเก่งที่สุดก็ร่วมบัลลังก์กันโดยอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่องค์ฟาโรห์เพิ่งจะมีครั้งนี้ แหละที่ฮัตเซปสุตตัดสินพระทัยในสิ่งที่คนทั่วไปไม่คิดว่าจะทรงกระทำนั่นคือเวลาเสด็จออกประทับบนบัลลังก์ในท้องพระโรง ราชินีฮัตเซปสุตที่เคยงามอย่างสตรีเพศก็แปลงโฉมจนแทบจำไม่ได้ ไม่ว่าฉลองพระองค์ สวมมงกุฎแฝด ของอียิปต์ตอนบน และ ล่างมีคฑาในพระหัตถ์ ฯลฯสิ่งเหล่านี้ล้วนนำความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น แต่ไม่เท่ากับราชินีของพวกเค้าทรงมีเครายาวลงมาถึงหน้าอก ผู้ที่แต่งองค์ครบเครื่องเช่นนนี้ได้จะต้องมีเพียงหนึ่งเดียวบนแผ่นดินอียิปต์เท่านั้นคือองค์ฟาโรห์หลังจากจัดระบบภายในเรียบร้อยแล้วฮัตเซปสุตก็เริ่มทรงงานพาณิชย์ และ งานต่างประเทศซึ่งลือกันว่าถนัดที่สุดทรงส่งคณะไปสำรวจ ชายฝั่งทะเลแดง จนถึงอาณาจักรพันต์ (ปัจจุบันคือประเทศโซมาเลีย) ซึ่งร่ำรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และนำเอาทองคำ หนังสัตว์ งาช้าง ลิงบาบูน ไม่เนื้อแข็ง ฯลฯ กลับมายังอียิปต์นอกจากนี้ยังส่งคณะทูตเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆที่พระราชบิดาทรงตีได้ ทำให้ได้รับ เครื่องราชบรรณาการมากมายเมื่อเศรษฐกิจดีข้นงานชิ้นแรกคือ ฟื้นฟูบูรณะซากปรักหักพังที่เกิดจากสงครามกู้อิสรภาพจากฮิกซอส ซึ่งได้จัดตั้งราชวงศ์ที่ 15และครอบครองอียิปต์กว่าหนึ่งร้อยปีเจ้านายอียิปต์รวบรวมกำลังขับไล่กษัตริย์ชาวฮิกซอสไป และสถาปนาราชวงศ์ที่ 18พร้อมกับการเริ่มยุค อาณาจักรใหม่หลังจากนั้นก็ทรงสร้างวิหารขนาดใหญ่อุทิศแก่พระราชบิดาที่คาร์นัคสร้างวิหารแบบเจาะเข้าไปในหน้าผาที่เบนอี ฮัสซัน อยู่ตอนกลางของประเทศทว่างานสถาปัตยกรรมในสมัยของพระนางที่เด่นเป็นสง่า และ ครอบครองความอันเป็นเอกมาจนถึงทุกวันนี้ ได้แก่วิหารประกอบพิธีศพที่ดาร์อี อัล บาห์รี ซึ่งอยู่ในเขต "นครแห่งความตาย"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น