มหาวิหารคาร์นัค ( Great Temple of Karnak )
มหาวิหารคาร์นัค (Great Temple of Karnak) เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของอียิปต์ เรื่องราวและร่องรอยแห่งอารยธรรมที่แท้จริงของอียิปต์โบราณทั้งทางด้านศิลปะและวัฒธรรมของคนในยุคนั้นได้บ่งบอกไว้ในซากปรักหักพังของมหาวิหารคาร์นัคอันยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้เองมหาวิหารคาร์นัคอยู่ห่างจากศูนย์กลางตัวเมืองคือ ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวิหารลักซอร์ประมาณ 2.6 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนราเช่นเดียวกันกับวิหารลักซอร์และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ ดังนั้นวิหารทั้งสองจึงมีความเกี่ยวพันกันเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในอดีตจึงมีเส้นทางถนนเชื่อมต่อถึงกันและสองข้างทางเข้าสู่กำแพงชั้นที่ 1 จะถูกประดับด้วยตัวสฟิงซ์ (Sphinx) นั่งหมอบเรียงรายตลอดความยาว 2.6 กิโลเมตรอย่างอลังการ "คาร์นัค" (Karnak) เป็นชื่อหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเมืองอะมอนอันหมายถึงเมืองของเทพอะมอน แต่เดิมนั้นชื่อเมืองมีชื่อว่า "วาเซ็ต" แล้วต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อนคร "ธีบส์" จนในที่สุดจึงได้เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรไอยคุปต์เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ที่ 11 จนถึงสมัยราชวงศ์ที่ 21 นับเวลายาวนานร่วม 1,000 ปี ( 2120-1085 B.C.) และยังได้กลับมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งในราชวงศ์ที่ 25 อีกถึง 50 ปี ( 716-666 B.C.)
มหาวิหารคาร์นัคสร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 ( SeSostris I ) กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 12 ( 1991 B.C. ) อันปรากฏหลักฐานเก่าแก่ที่สุดอยู่ในหมู่วิหารของเทพอะมอนรา คือห้องบูชาเทพอะมอนรา และห้องแท่นบูชาเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอน ( Sacred Barque Sancutary และ Central Court of Amon ) อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นที่ 6 มีอายุมากที่สุด นับรวมอายุถึงปัจจุบันร่วม 4,000 ปี
ต่อมาได้รับการต่อเติมปฏิสังขรณ์ขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ ในทุกๆยุค โดยเฉพาะช่วงราชวงศ์ที่ 18-20 มีการบูรณะวิหารแห่งนี้มากที่สุดและบูรณะต่อเนื่องจนถึงยุคโรมันเข้ามาครอบครอง จนกลายเป็นวิหารที่มีอาคารมากมายกว้างขวางและใหญ่โตที่สุดในโลก
หากนับเวลาติดต่อกันมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์ที่ 11 ที่ได้ย้ายเมืองหลวงมายังนครธีบส์ จนกระทั่งถึงยุคโรมันนับเวลาเกือบ 2,000 ปี เทพเจ้าอะมอนราก็ยังคงเป็นสุริยเทพอันยิ่งใหญ่และเป็นเทพประจำเมืองนี้ตลอดมา วิหารแห่งนี้จึงเป็นศูนย์รวมความเชื่อ ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวอียิปต์โบราณ
อะมอน, อะมัน, อะมุน, อะมอนรา (Amon,Amun,Amon-Ra) ทั้ง 3 คำมีความหมายเดียวกันคือ สุริยเทพองค์เดียวกัน มีรูปร่างเป็นชายหนุ่มสวมหมวกขนนกคู่สูงและมีแผ่นวงกลมสุริยะ ( Solar Disk ) ด้านหน้า
รา (Ra), เร (Re) ส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า รา มีความหมายเหมือนกัน หมายถึงเทพเจ้ารา บิดาแห่งเทพยดาทั้งปวง เทพเจ้าราคือผู้ที่เนรมิตเทพอะมอนรา เทพรา-ฮอรัคตี้หัวเหยี่ยว ฯลฯ
เทพเจ้ารา คือสุริยเทพอันเป็นใหญ่ยิ่ง ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า “เทพเจ้าราคือผู้สร้างโลกสร้างสวรรค์เบื้องบน และสร้างโลกเบื้องล่าง เทพเจ้า รา คือผู้ที่เนรมิตเทพยดาทุกองค์และสร้างมนุษย์ แม้กระทั่งขุนเขา แผ่นฟ้า แม่น้ำ สร้างกลางวัน กลางคืน และสร้างเดือน สร้างปีที่ผ่านไป”
เทพเจ้าราได้เนรมิตร่างลงมาปกครองอาณาจักรของตนไนร่างของมนุษย์ ซึ่งอยู่ในฐานะสุริยเทพและอยู่ในฐานะฟาโรห์ด้วย เทพเจ้าองค์นั้นก็คือ เทพเจ้าอะมอนรานั่นเอง อำนาจและบารมีแห่งเทพอะมอนรานั้นได้รับการกล่าวขานกันว่า ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในชัยชนะเหนือศัตรูทั้งหลายของเหล่าฟาโรห์ ล้วนเกิดจากพลังอำนาจและพรอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอนราช่วยทั้งสิ้น
เทพเจ้ารายังคงทิ้งสัญลักษณ์และยังคงเป็นบิดรแห่งเทพทั้งปวง ด้วยสัญลักษณ์รูปวงกลมดวงอาทิตย์มีงูแผ่แม่เบี้ย 2 ตัวขนาบข้างดวงอาทิตย์ มีรัศมีแสงดวงอาทิตย์เป็นรูปปีกเหยี่ยวกำลังกางออก จะปรากฏอยู่เหนืออาคารบริเวณหน้าจั่วด้านนอก หรือไม่ก็เห็นภายในอาคารในที่สูง หรือแม้กระทั่งตามสุสานก็ยังปรากฏ เพื่อให้ช่วยคอยปกป้องคุ้มครอง และหากเมื่อสิ้นไปแล้ว สัญลักษณ์ของเทพเจ้าราจะกลายเป็นหัวแกะ ดังเช่นตัวสฟิงซ์หัวแกะหมอบนั่งเฝ้าตามวิหารทั่วไป นั้นแหล่ะคือตัวแทนพระเจ้ารา
เสริมอีกนิดเรื่องรูปพระอาทิตย์มีปีก ตำนานกล่าวกันว่าเป็นร่างจำเเลงของ "horus behdety" ลัทธิการนับถือเทพองค์นี้หลัก ๆ อยู่ "เอ็ดฟู" ตำนานบางเเห่งกล่าวว่า ฮอรัสจำเเลงเป็นพระอาทิตย์มีปีกเพื่อปกป้องเรือสุริยะเเละเทพรา บางเเห่งกล่าวว่าเทพธอทได้ร่ายมนต์ให้ฮอรัสเป็นดวงอาทิตย์มีปีกเพื่อสู้กับเซท คิดว่างูตรงนั้นคือเทพีเนคเบท ส่วนบางตำราน่าจะกล่าวเป็นเทพราด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น