วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ellora cave tamples

ellora cave tamples เสาศิวะ



ขุนเขาไกรลาส (Mount Kailash) ดินแดนแห่งความเชื่อว่า เป็นที่ประทับของ องค์พระศิวะ (Shiva) หรือที่คนไทยนิยมออกเสียงเรียกว่า พระอิศวร เป็นดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของชาวฮินดูในอินเดียว่า เป็นสถานที่ที่มีความยิ่งใหญ่เหนือคำพรรณนาใดๆ จะเทียบเปรียบได้
ชาวฮินดูต่างให้ความเคารพศรัทธาในขุนเขาไกรลาสว่า เป็นที่ที่พระศิวะ และพระนางปารวตี (Parvati) หรือที่คนไทยรู้จักกันในพระนาม อุมาเทวี ประทับอยู่เคียงคู่ และอยู่สุดสูงแห่งพื้นพิภพ  แต่จะมีใครคาดคิดว่า ณ วันหนึ่ง มนุษย์ได้นำพลังแห่งศรัทธานั้น อุทิศให้กับการขุดเจาะภูเขาขนาดใหญ่ และลงมือสกัดหินแกะสลักลงไปบนผนังหินอย่างบรรจงยาวนานนับร้อยปี จนกระทั่งภูเขาลูกนั้นกลายมาเป็นเทวาลัยที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสมมติให้เป็นดั่งขุนเขาไกรลาสจำลองบนผืนโลก  ดังนั้น เทวาลัยไกรลาสจึงเป็นหนึ่งในหมู่ถ้ำที่เรียกกันว่า ถ้ำเอลโลรา (Ellora Caves) ได้กลายมาเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากฝีมือของมนุษย์ที่อยู่เหนือคำอธิบายใดๆ และตรงหน้าเทวาลัยแห่งนั้น คือที่ตั้งของแท่งเสาหินแกะสลักคู่หนึ่ง ที่สถิตตระหง่านอยู่มานานกว่าพันปี นั่นก็คือ เสาศิวะ หรือ เสาศิวะแห่งเอลโลรา
เสาศิวะ (Shiva  Pillar) ที่คงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ อยู่บริเวณด้านหน้าของทางเข้าสู่ เทวาลัยไกรลาส (Kailash Temple) หรือ ไกรลาสนาถ (Kailasanatha)หรือที่เรียกกันในทางโบราณคดีว่า ถ้ำหมายเลข 16” มีลักษณะเป็นเสาแฝด ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับประติมากรรมช้างศิลาขนาดเท่าจริง สร้างไว้ขนาบข้างด้านซ้าย ขวาของ วิหารนนทิ (Nandi Pavilion) ซึ่งเป็นวิหารด้านหน้าของเทวาลัยไกรลาส ด้านบนของวิหารนนทิสร้างเป็นยอดหน้าตัดสี่เหลี่ยม ยกพื้นรูปวงกลมสามชั้น มีประติมากรรมรูปสิงโตศิลาจำนวน 4 ตัว ยืนรายล้อมรอบวงกลมทรงดอกบัว ด้านในของวิหารยังเป็นที่ตั้งของ ประติมากรรมโคนนทิ หรือ โคอุศุภราช สัตว์พาหนะขององค์พระศิวะ

เสาศิวะทั้งสองแกะสลักจากหินบะซอลต์  เช่นเดียวกับตัวเทวาลัย และวิหารทั้งหมดที่สกัดจากหินบะซอลต์เช่นกัน  เสาศิวะมีความสูง 17 เมตร ( 56 ฟุต ) ด้านล่างแกะสลักซ้อนลดหลั่นเป็นสามระดับ ลำต้นเสาตั้งตรง สกัดหินให้เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยม  ผนังทั้งสี่ด้านแกะสลักภาพประติมากรรมนูนต่ำ ขอบด้านบนแกะลวดลายพรรณไม้ และลายกาบบัว มีการใช้เส้นโค้งพริ้วไหวอย่างงดงาม มองดูคล้ายคลึงกับพวงมาลัยดอกไม้คล้องประดับอยู่บนตัวเสา  ปลายส่วนบนโค้งเว้าเข้าด้านใน มีการแกะสลักขอบเส้นต่างๆ ซ้อนกันหลายชั้น เส้นลายกลีบบัวต่างๆ เหล่านี้ นับเป็นต้นแบบลวดลายแบบอินเดียโบราณที่แพร่หลายออกไปทั่วโลกในเวลาต่อมา  ยอดบนสุดสร้างเป็นประติมากรรมเรียกว่า ธวัช” (Dhvaja) หรือ ธงชัย” (Victory banner) แต่ปัจจุบันชำรุดและหักพังไปหลายส่วน รูปแกะสลักธวัช หรือธงชัย เป็นหนึ่งในแปดสัญลักษณ์ อัษฏมงคลแปดประการ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากคัมภีร์พระเวทในศาสนาฮินดู ก่อนที่จะแพร่หลายไปสู่ศาสนาพุทธนิกายมหายานในภายหลัง





ตรงกึ่งกลางของเทวาลัยไกรลาส เป็นที่ตั้งของวิหารใหญ่ สกัดสร้างจากหินเป็นลวดลายภาพเทพเจ้าองค์สำคัญ และตำนานจากเรื่อง รามายณะ และ มหาภารตะ รูปทรงสถาปัตยกรรมเทวาลัยไกรลาสจึงมองดูคล้ายภูเขาขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยลวดลายอันวิจิตรบรรจง ด้านในเป็นที่ประดิษฐาน ศิวลึงค์” (Shiva linga) ตั้งอยู่บนฐานโยนี สัญลักษณ์ศิวลึงค์นั้นเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะ เป็นสัญลักษณ์สำคัญของลัทธิไศวนิกาย ที่บูชาในองค์พระศิวะ และเป็นเครื่องหมายแห่งกำเนิดสรรพสิ่งในจักรวาล ความอุดมสมบูรณ์ และสมดุลแห่งชีวิต
 เทวาลัยไกรลาสสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบ ดราวิเดียน (Dravidian) ตามพระประสงค์ของพระเจ้ากฤษณะที่ 1 (King Krishna I) แห่งอาณาจักรราษฎรกูฏ (Rashtrakuta Kingdom) มีความเก่าแก่มากกว่า 1,200 ปีล่วงมาแล้ว  การสร้างเทวาลัยมาจากมหาศรัทธาของพระองค์ ที่ต้องการให้เป็นสถานที่ถวายบูชาต่อเบื้องหน้าที่ประทับแห่งองค์พระศิวะ (พระอิศวร) ณ ขุนเขาไกรลาสจำลองบนแดนดิน
อนึ่ง  เทวาลัยไกรลาส คือ ถ้ำหินหมายเลข 16” เป็นหนึ่งในหมู่ถ้ำหินเอลโลรา (Ellora Caves) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ วัด วิหาร และเทวาลัย ที่ขุดเจาะลงไปบนผนังหินผาบนภูเขา มีความยาวครอบคลุมพื้นที่กว่า 2 กิโลเมตร  ภายในบริเวณที่ตั้งของหมู่ถ้ำเอลโลราประกอบไปด้วย การสร้างเทวสถาน และศาสนสถานของทั้งสามศาสนา อันได้แก่ ศาสนาฮินดู  ศาสนาพุทธ และ ศาสนาเชน  รวมทั้งหมด 34 ถ้ำ (จำแนกเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู 17 ถ้ำ  มหาวิหารในศาสนาพุทธ 12 ถ้ำ และ ศาสนสถานในศาสนาเชนจำนวน 5 ถ้ำ) ปัจจุบัน พื้นที่ของหมู่ถ้ำเอลโลราอยู่ที่เมืองออรังคะบาต (Aurangabad) รัฐมหาราษฎร ประเทศอินเดีย ความยิ่งใหญ่ของเทวาลัยไกรลาส และหมู่ถ้ำเอลโลรา จึงได้รับการขึ้นทะเบียนและประกาศให้เป็น มรดกโลก” (World Heritage Site) จากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี ค.ศ. 1983


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น