วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นครวัด

นครวัด





นครวัด เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร
ปราสาทนครวัดได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม
ในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา
ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก

ขนาดและการก่อสร้าง
ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี
ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง
หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาทนครวัด

รูปสลักและงานประติมากรรม

ทางด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทนั้น มีความยาวกว่า 800 เมตร มีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดก็คือรูปที่เทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ และยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกถึง 1,635 นาง ที่ทั้งหมดแต่งกายและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย   มีภาพจำหลักหินด้านหนึ่งเป็นภาพกองทัพสยาม ที่ส่งไปช่วยรบกับพวกจามมีอักษรจารึกไว้ว่า สยำ กุกปัจจุบันถูกเอาออกไปแล้วน่าจะหมายถึงกองทัพสยามจากลุ่มแม่น้ำกก คือกำลังที่มาจากเมืองเชียงราย เมืองเชียงแสนหรือจาก[สุพรรณบุรี และคำว่า โลวสันนิษฐานว่าเป็นกองทัพจากเมืองละโว้ 


พระปฐมเจดีย์


พระปฐมเจดีย์




องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานอันสำคัญของประเทศไทย อยู่ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร มีประวัติความเป็นมายาวนานในแผ่นดินสุวรรณภูมิ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ใหญ่ รูประฆังคว่ำ ปากผายมหึมา โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นมหึมาก่ออิฐ ถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ ประกอบด้วยวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า เป็นที่เคารพสักการบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลกทางวัดกำหนดให้มีงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ถึง วันแรม 5 ค่ำ เดือน 12 รวม 9 วัน 9 คืน เป็น ประจำทุกปี



ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์

พระปฐมเจดีย์ หรือเดิมเรียกว่า พระธมเจดีย์ มีฐานะเป็นมหาธาตุหลวง ของแผ่นดินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พระธมเจดีย์องค์นี้ อาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้น เมื่อคราวที่พระสมณทูต ในพระเจ้าอโศกมหาราชเดินทางมาเผยแผ่ศาสนายังสุวรรณภูมิ ก็เป็นได้ เพราะพระเจดีย์เดิม มีลักษณะทรงโอคว่ำ หรือทรงมะนาวผ่าซีก แบบเดียวกับพระสถูปสาญจีแต่ปรากฏว่ามียอดเป็นแบบปรางค์ ซึ่งพระองค์ฯ ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า อาจมีเจ้านายพระองค์ใดมาบูรณะไว้ก็เป็นได้ ซึ่งตรงกับความในศิลาจารึกหลักที่ 2 (ศิลาจารึกวัดศรีชุม) ของ พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ อันได้กล่าวไว้ว่า พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ท่านทรงได้แวะมาบูรณะพระธมเจดีย์องค์นี้ ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับเมืองราด เมื่อคราวที่ท่านเสด็จกลับจากศึกษาพระพุทธศาสนาที่ลังกา ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า พระปฐมเจดีย์ ด้วยทรงเชื่อ ว่านี่คือเจดีย์แห่งแรกของสุวรรณภูมิ นั่นเอง
ในเรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีบางท่าน ได้ระบุว่า พระปฐมเจดีย์ไม่ได้เป็นเจดีย์ที่เก่าที่สุดของสุวรรณภูมิ แต่เป็น พระมหาธาตุหลวง ในยุคทวารวดี มากกว่า เนื่องด้วยเหตุผลประกอบหลายประการ โดยเฉพาะ การค้นพบเจดีย์ ที่มีอายุเก่าแก่กว่าพระธมเจดีย์ และหลักฐานลายลักษณ์อักษร ที่ระบุว่า " พระเจดีย์องค์นี้ เดิม ขอมเรียก พระธม " ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชาวขอมจริงๆ หรือชาวลวรัฐ ซึ่งสมัยนั้นเราก็เรียกว่าขอม เช่น ขอมสบาดโขลญลำพง คำว่า ธม สำหรับชาวขอมนั้น แปลว่า ใหญ่ ตรงกับคำเมืองว่า หลวง ซึ่งเราก็เรียกพระนครธม ว่า พระนครหลวง ด้วยเหตุผลเดียวกัน
นอกจากนี้พระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจุที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และฐานพระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามที่มีพระบรมราชโองการสั่งไว้ในพระราชพินัยกรรม ต่อมา ในพุทธศักราช 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระอังคารของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ไปบรรจุไว้เคียงข้างพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 6 ที่ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์





Jerash อาณาจักรโรมันแห่งจอร์แดน

Jerash  อาณาจักรโรมันแห่งจอร์แดน



นครเจอราช (JERASH) หรือ เมืองพันเสา หรือ "ปอมเปอีแห่งตะวันออกกลาง" เป็น 1 ใน 10 หัวเมืองเอก ในสมัยกรีก-โรมัน Decapolis อันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สันนิษฐานว่าเมืองนี้น่าจะถูกสร้างในราว 200 100 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีในอดีตเมืองแห่งนี้ชื่อว่า ในปี ค.ศ. 749 นครแห่งนี้ได้ถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลาย และถูกฝังกลบโดยทรายหลังจากนั้นก็ได้สูญหายไปเป็นนับพันปี จนกระทั่งมีการขุดค้นในปี 1878 ชม ซุ้มประตูกษัตริย์เฮเดรียน สร้างขึ้น คศ.129 และ สนามแข่งม้าฮิปโปโดรม ประตูทางทิศใต้ ชมโอวัลพลาซ่า กว้าง 80 เมตร ยาว 90 เมตร เป็นสถานที่ชุมนุม พบปะสังสรรค์ของชาวเมือง รายรอบด้วยเสาไอโอนิคสูงกว่า 10 ม. จำนวน 67 ต้น เรียงรายรอบจัตุรัส, วิหารเทพซีอุส สร้างตั้งแต่ศต. ที่ 1 แต่ปัจจุบันเหลือแต่ซากเสาและกำแพง


ซากนครโรมันโบราณที่ได้แวะไปเยี่ยมชม คือนครกรีก-โรมันเจอราช ฉายา เมืองพันเสาอดีต1 ใน 10 หัวเมืองเอกอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน ซึ่งตอนที่ไปการฟื้นฟูบูรณะยังดำเนินอยู่  แต่ก็เห็นความสมบูรณ์  แบบของศิลปกรรม และ สถาปัตยกรรมที่คนจอร์แดนบอกว่า ซากนครโรมันที่ยังคงหลงเหลือแห่งนี้มีความอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดในโลก นอกเหนือจากที่มีอยู่ใน กรุงโรม ประเทศอิตาลี(Jerash is considered the best preserved and most complete city of the Decapolis, a confederation of Ten Roman cities dating from the 1st Century B.C.)
ตามข้อมูลประวัติศาสตร์  สันนิษฐานว่านครเจอราช (JERASH) หรือ เมืองพันเสานี้น่าจะถูกสร้างในราว 200 – 100 ปีก่อนคริสตกาล    เดิมทีในอดีตเมืองแห่งนี้ชื่อว่า เมืองแอนติออชบนฝั่งแม่น้ำทองคำ  หรือ "Antioch on the Chrysorrhoas " คำว่า  " Chrysorrhoas  "  หมายความว่า  "แม่น้ำทองคำ  หรือ Golden River"    บางตำราก็เรียกว่าเป็น  the Pompeii of the East เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 749 นครแห่งนี้ได้ถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลาย และถูกฝังกลบโดยทรายหลังจากนั้นก็ได้สูญหายไปเป็นนับพันปี 
อย่างไรก็ตาม  มีการขุดพบซากการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์บริเวณพื้นที่ภายในกำแพงเมืองเจอราช ที่บ่งชี้ว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ที่บริเวณนี้มาตั้งแต่ยุคสำริด ( Bronze Age) ยุคเหล็ก ( the Iron Age) ยุคกรีก ( the Hellenistic)  ยุคโรมัน ( Roman) ยุค  Byzantine, Umayade และ  Abbasid periods
สิ่งสำคัญที่น่าชมของ นครเจอราชในยุครุ่งเรืองสมัยโรมันมีมากมาย  ตั้งแต่ ซุ้มประตูกษัตรย์เฮเดรียน และ สนามแข่งม้าฮิปโปโดรม  โอวัลพลาซ่า ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุม พบปะ สังสรรค์ของชาวเมือง, วิหารเทพซีอุส ฯลฯ
โรงละครทางทิศใต้ (สร้างในราวปี ค.ศ. 90-92 จุผู้ชมได้ถึง 3,000 คน มีจุดเสียงสะท้อนตรงกลางโรงละคร ที่เราสามารถทดสอบกับความอัศจรรย์ นี้ได้ ด้วยการพูดเพียงเบา ๆ ก็จะมีเสียงสะท้อนก้องเข้ามาในหูของเรา  นอกจากนี้ ยังมี วิหารเทพีอาร์เทมิส ซึ่งเป็นเทพีประจำเมืองเจอราช สร้างในราวปี ค.ศ. 150 สร้างขึ้นพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีบวงสรวง และบูชายัญต่อเทพีองค์นี้  วิหารแห่งนี้ แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน
ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเดินเข้าสู่ ถนนคาร์โด หรือ ถนนโคลอนเนด ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่ใช้เข้า-ออกเมืองแห่งนี้ บนถนนนั้นยังมีริ้วรอยทางของล้อรถม้า, ฝาท่อระบายน้ำ, ซุ้มโคมไฟ, บ่อน้ำดื่มของม้า ให้ชมด้วย  นอกจากนี้ยังมีน้ำพุใจกลางเมือง (NYMPHAEUM) สร้างในราวปี ค.ศ. 191 เพื่ออุทิศแด่เทพธิดาแห่งขุนเขา ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวเมืองแห่งนี้ มีที่พ่นน้ำเป็นรูปหัวสิงโตทั้งเจ็ด และตกแต่งด้วยเทพต่างๆ ประจำซุ้มด้านบนของน้ำพุ ฯลฯ
น่าเสียดายมากที่ไปครั้งนั้น ไม่ได้มีโอกาสไปเห็นเมือง เพตร้า (PETRA) มหานครศิลาทรายสีชมพู หรือ นครสีดอกกุหลาบ ที่ถูกลืมหายไปจากความทรงจำของผู้คน จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักล่าสมบัติชาวสวิส นาย จอห์น ลุควิดซ์ เบอร์คฮาร์ดท์ ค้นพบ และได้ถูกนำออกมาเล่าเรื่องราวกล่าวขานถึงความสวยงาม    และความมหัศจรรย์ของมหานครแห่งนี้ จนถูกโหวตให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกใหม่จากคลื่นมหาชนร้อยล้านคนทั่วโลก เมื่อเร็วๆนี้  เนื่องจากมีเวลาไม่มากและการเดินทางไปนครเพตร้าต้องใช้ทั้งเวลาและเงินตรามากกกกก....
ปัจจุบันนี้การบูรณะน่าจะสมบูรณ์แล้ว  ในเว้ปมีแผนผังจุดที่ตั้งสถานที่สำคัญๆของเจอราช  ให้ไกด์สำหรับนักท่องเที่ยวด้วย..

วิหารคอมออมโบ วิหารสองเทพเจ้า (Kom-Ombo)


วิหารคอมออมโบ วิหารสองเทพเจ้า (Kom-Ombo)




วิหารคอมออมโบ (Kom-Ombo) ชื่อเรียกของวิหารนี้มาจากการค้นพบวิหารข้างหมู่บ้านที่ชื่อ kom om bo (ชื่อเกือบทั้งหมดหรือทั้งหมดของวิหารตั้งโดยคนพื้นเมือง) วิหารคอมออมโบอยู่ด้านตะวันออกฝั่งของคนเป็นอยู่ระหว่าง Aswan กับ Edfu อยู่ทางเหนือของ Aswan ขึ้นไปประมาณเกือบ 50 km ใกล้ๆ Unfinished obelisk  (Aswan เป็นที่ตั้งของ Unfinished Obelisk ของ Hatshepsut)ส่วนใหญ่เวลาไปเที่ยวไกด์ชอบพูดว่า ธีบส์ฝั่งตะวันออกคือที่ฝั่งของคนเป็น ส่วนธีบส์ฝั่งตะวันตกคือที่ฝั่งของคนตาย” "อียิปต์ฝั่งตะวันออกคือฝั่งของคนเป็น อียิปต์ฝั่งตะวันตกคือฝั่งของคนตายซึ่งก็เป็นความจริง (แต่ว่าน่าจะหาคำที่เพราะๆ กว่านี้หน่อย) เพราะว่าการสร้างบ้าน (สมัยโบราณ) จะสร้างไว้ทางตะวันออก ส่วนสุสานและวิหารประกอบพิธีศพต่างๆ จะสร้างไว้ทางตะวันตกวิหารคอมออมโบหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยหันหน้าเข้าแม่น้ำไนล์ วิหารนี้มีความพิเศษมาก ๆ คือ จริง ๆ มันคือวิหาร 2 วิหารที่สมมาตรกันด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมของวิหารนี้จึงออกมาลงตัว และสวยงามอย่างมากวิหารหนึ่งเป็นของเทพฮาโรริส (Haroeris หรือ Harwer) หรือโฮรัสผู้ชรานั่นเอง ซึ่งเป็นเทพที่คาดว่าเกิดในช่วงปโตเลมี ส่วนอีกวิหารคือของโซเบค (Sobek) จากแผนผังจะเห็นห้องบูชาด้านใน (เลข 8) ของวิหาร Kom-Ombo นี้มี 2 ห้องติดกัน ด้านซ้ายเป็นของเทพ Harwer ด้านขวาคือของเทพ Sobek ครับ วิหารนี้เทพทั้ง 2 มีความสำคัญเท่าเทียมกัน




วิหารนี้เป็นเริ่มสร้างตั้งแต่ New Kingdom สมัยฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 และจนถึงฟาโรห์ทัตโมสที่ 3 (Tuthmosis III) แต่ก็ค้างคาไว้เรื่อยมาจนถึงฟาโรห์ปโตเลมีที่ 6 (Ptolemy VI) จึงได้มาต่อเติมจนสมบูรณ์เมื่อฟาโรห์ปโตเลมีที่ 12 (Ptolemy XII) ส่วนกำแพงด้านนอกวิหารสร้างสมัย Roman เข้าปกครออธิบายวิหารจากประสบการณ์หลังจากที่ผมออกจากรถมา ถ้าแดดไม่จ้ามากจะเห็นผาหรือเนินสูง ขึ้นไปจะเห็นส่วนของวิหาร ไปทางด้านขวาส่วนด้านซ้ายเป็นแม่น้ำไนล์ เดินไปสักพักจะมีจุดพักเป็นระยะๆ แล้วทางไปวิหารจะต้องเดินตามถนนเลี้ยวขวาไปก็จะมีบันไดกว้างๆ ให้เดินขึ้นไปก็จะถึงวิหาร มุมนั้นตามความรู้สึกมันดูขลังมากส่วนที่โดดเด่นคือภาพของปฏิทินการคำนวณและภาพของอุปกรณ์การแพทย์ วิหารนี้เป็นที่รักษาคนในสมัยก่อนที่มีชื่อมาก


tem of horus วิหารเทพเจ้าเหยี่ยว

tem of horus   วิหารเทพเจ้าเหยี่ยว



เทพฮอรัส (อังกฤษ: Horus) คือหนึ่งในเทพของ ตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ ผู้ทรงเป็นพระโอรสของเทพโอซีริส และเทวีไอซิสและเป็นพระสวามีของเทวีฮาธอร์ ทรงเป็นเทพที่เกิดจากการรวมกันของเทพนกเหยี่ยวและเทพแห่งแสงสว่าง ทรงมีพระเนตรขวาเป็นดวงอาทิตย์และพระเนตรซ้ายเป็นดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเพราะขณะที่สู้กับเซทนั้นถูกกัดที่ตาซ้ายจนหมองมัว
สัญลักษณ์ของเทพฮอรัสคือเป็นมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว ทรงสวมมงกุฎสองชั้นหรือแกะสลักเป็นรูปวงสุริยะมีปีกอยู่ที่รั้ววิหารประจำพระองค์ หรือคือนกเหยี่ยวกำลังบินอยู่เหนือการสู้รบของฟาโรห์ ที่อุ้งเล็บมีแส้แห่งความจงรักภักดีและแหวนแห่งความเป็นนิรันดร์อยู่
เทพฮอรัสทรงมีพระนามมากมายตามท้องที่ที่สักการะและความเชื่อ เช่น เทพฮาโรเอริส (Haroeris) ฮอรัส เบฮ์เดตี (Horus Behdety) ฮาราเคต ฮาร์มาฆิส (Harmakhis) และ ฮาร์สีเอสิส (Harsiesis)
สัญลักษณ์รูปตาที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ในศิลปะของอียิปต์นั้น เป็นสัญลักษณ์แทนดวงตาของเทพเจ้าของอียิปต์ที่มีความสำคัญมากองค์หนึ่ง นั่นคือ เทพฮอรัส เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ และอีกข้างเป็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า ดวงตาของฮอรัส (Eye of Horus หรือ wedjat) ที่แทนด้วยดวงตาของมนุษย์ที่มีหางตาเป็นแบบของเหยี่ยว และมีลวดลายสัญลักษณ์รอบๆ ตาซึ่งบางครั้งก็มีหยดน้ำตาด้วย โดยที่คนอียิปต์โบราณจะออกเสียงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า “udjat”



ชาวอียิปต์โบราณนับถือดวงตาของฮอรัสเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง และยังได้รับการเปรียบว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี และความมั่งคั่ง นอกจากนี้ คนโบราณยังเคารพดวงตาของฮอรัสเสมือนตัวแทนของอาณาจักรใหม่อันเป็นนิรันดร์จากฟาโรห์องค์หนึ่งไปสู่ฟาโรห์อีกองค์หนึ่ง โดยชาวอียิปต์เชื่อว่า สัญลักษณ์นี้มีพลังอำนาจมหาศาลและมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับโลกที่ไม่มีความมั่นคง และแก้ไขสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรม รวมทั้งยังเชื่อว่า สัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้นี้จะช่วยในการเกิดใหม่อีกครั้งด้วย
       
       ทั้งนี้ ตามตำนานเทพโบราณ เทพฮอรัสเป็นโอรสของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส ผู้ปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ โดยมีเทพเซธคอยอิจฉาริษยาและพยายามหาทางแย่งชิงราชบัลลังก์ ต่อมาเทพเซธได้สังหารบิดาของเทพฮอรัสและแยกชิ้นส่วนไปทิ้งตามที่ต่างๆ ทั่วอียิปต์ ทั้งยังควักลูกตาของพระองค์ออกข้างหนึ่ง โดยมีเทพทอต เทพเจ้าแห่งความฉลาดรอบรู้ ผู้สนับสนุนศาสตร์ความรู้และศิลปะแห่งการเขียนเป็นผู้เก็บดวงตานั้นกลับมาและรักษาอย่างอดทนจนพระองค์หายดี และในที่สุดพระองค์ก็สามารถตามเก็บชิ้นส่วนของพระบิดากลับมาได้
       
       ในปัจจุบัน สัญลักษณ์นี้ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนก็สักรูปดวงตาของฮอรัสเพื่อความเป็นสิริมงคลตามความหมายดั้งเดิมของอียิปต์โบราณ ตลอดจนเครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แหวน สร้อย ต่างหูก็มีการออกแบบโดยใช้ดวงตาของฮอรัสเป็นต้นแบบอีกด้วย



temple to hatshepsut ฟาร์หญิงฮัทเซปซุต

temple to hatshepsut  ฟาร์หญิงฮัทเซปซุต


ตามโบราณสถานต่าง ๆ รูปแกะสลักขององค์ฟาโรห์จะใหญ่มหึมาส่วนขององค์ราชินีที่ยืนเคียงคู่นั้นมีขนาดเล็กนิดเดียว โดยทั่วไปซุกอยู่แถว ๆ หน้าแข้งขององค์ฟาโรห์ทำให้ทราบไปถึงฐานะของสตรีอียิปต์โบราณช่างต่ำต้อยเหลือเกิน มีสิทธิ์ไม่เท่าเทียมชายผู้หญิงสี่คน แหวกโค้งประเพณีขึ้นไปนั่งบัลลังก์หนึ่งนั้นคือคลีโอพัตรา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรุงโรมอีกสองเป็นแค่ประเดี๋ยว เดียว ไม่ถึง10 วันแต่กรณีของพระนางฮัตเซปสุตแตกต่างจากคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิงพระนางได้ขึ้นครองราชย์ด้วยความสามารถของตนเองทั้งได้รับความเห็นชอบ จากขุนนางฝ่ายศาสนจักร และ ทหาร ทรงเก่งทั้งด้านศิลปะ การพาณิชย์ให้อยู่ในฐานันดรศักดิ์ ฟาโรห์หญิงองค์แรก และ องค์เดียวของปฐพี อียิปต์โบราพระราชบิดาของเจ้าหญิงฮัตเซปสุต คือ ธุตโมสที่ 1ทรงเป็นฟาโรห์จอมยุทธในรัชสมัยของ ธุตโมสที่ 1 ทรงทำสงครามขยายดินแดนออกไปกว้างไกลและในปลายรัชสมัยของพระองค์ทรงมองเห็นความสามารถปราดเปรื่องในพระราชธิดาองค์นี้อีกทั้งพระนางประสูติจากอัครมเหสีซึ่งมีสิทธิ์เต็มที่ อันที่จะขึ้นครองราชย์เป็นราชินีร่วมกับเจ้านายในราชวงศ์ใกล้ชิดอีกองค์ ธุตโมสที่ 1 จึงทรงแต่งตั้งให้เจ้าหญิงฮัตเซปสุตได้นั่งบัลลังก์ร่วมกับ พระองค์ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนอย่างสุดกำลังโดยกฎการสืบสันตติวงศ์ของอียิปต์โบราณฟาโรห์ และ ราชินีจะต้องสืบสายโลหิตเดียวกัน แต่เนื่องจากอนุชาทั้งสองของเจ้าหญิง ฮัตเซปสุตสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ผู้ที่จะอภิเษกสมรสกับพระนาง และ ขึ้นดำรงตำแหน่งฟาโรห์จึงได้แก่โอรสของธุตโมสที่ 1 ที่ประสูติ จากพระชายารอง พอได้ขึ้นครองราชย์จึงได้เป็นธุตโมสที่ 2ร่วมกับพระนางฮัตเซปสุตผู้เป็น ราชินีธุตโมสที่ 2 ทรงเป็นบุคคลอ่อนแอทั้งทางกาย และ ใจ พระนางฮัทเซปซุท ทรงรัก และ สงสารน้ององค์นี้มากทรงให้ดูแลอย่างดีแต่หลังจากนั่งบัลลังก์ได้ราว 8 ปี ธุตโมสที่ 2 ก็สิ้นพระชนม์แต่เนื่องจากกฎมณเฑียรบาล ไม่ยอมให้สตรีขึ้นครองราชย์ตามลำพัง พระนางก็ไม่มีพระโอรสจึงเห็นว่าโอรสของธุตโมสที่ 2 ที่ประสูติจากนางสนมชั้นผู้น้อย ซึ่งขณะนั้นมีพระชนม์เพียง 10 ชันษาเป็นผูที่เหมาะสมกับตำแหน่งฟาโรห์มากที่สุดแต่เนื่องด้วยธุตโมสที่ 3 ยังเยาว์พระชันษาแรก ๆ พระนางฮัตเซปสุตทรงอยู่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแต่ต่อมาเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่ เข้าทางก็ให้ทรงมอบอำนาจให้ ธุตโมสที่ 3 ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งนักบวชของจอมเทพอามอน และพระนางเองก็เสด็จขึ้นเป็นฟาโรห์ผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการ ปกครองราชอาณาจักรทั้งอียิปต์บน และ ล่าง ฮัตเซปสุตขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความรู้สึกยินดีของข้าราชสำนักเพราะทรงสะสมอำนาจมาตั้งแต่ ปลายรัชสมัยของพระราชบิดา ทุกฝ่ายเป็นสมัครพรรคพวกของพระนางและพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ มีแต่ประชาราษฎร์ที่นึกแปลกใจเพราะไม่เคย เห็นสตรีคนไหนกล้าประกาศตัวครองราชย์เป็นฟาโรห์แต่ผู้เดียว อย่างเก่งที่สุดก็ร่วมบัลลังก์กันโดยอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่องค์ฟาโรห์เพิ่งจะมีครั้งนี้ แหละที่ฮัตเซปสุตตัดสินพระทัยในสิ่งที่คนทั่วไปไม่คิดว่าจะทรงกระทำนั่นคือเวลาเสด็จออกประทับบนบัลลังก์ในท้องพระโรง ราชินีฮัตเซปสุตที่เคยงามอย่างสตรีเพศก็แปลงโฉมจนแทบจำไม่ได้ ไม่ว่าฉลองพระองค์ สวมมงกุฎแฝด ของอียิปต์ตอนบน และ ล่างมีคฑาในพระหัตถ์ ฯลฯสิ่งเหล่านี้ล้วนนำความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น แต่ไม่เท่ากับราชินีของพวกเค้าทรงมีเครายาวลงมาถึงหน้าอก ผู้ที่แต่งองค์ครบเครื่องเช่นนนี้ได้จะต้องมีเพียงหนึ่งเดียวบนแผ่นดินอียิปต์เท่านั้นคือองค์ฟาโรห์หลังจากจัดระบบภายในเรียบร้อยแล้วฮัตเซปสุตก็เริ่มทรงงานพาณิชย์ และ งานต่างประเทศซึ่งลือกันว่าถนัดที่สุดทรงส่งคณะไปสำรวจ ชายฝั่งทะเลแดง จนถึงอาณาจักรพันต์ (ปัจจุบันคือประเทศโซมาเลีย) ซึ่งร่ำรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และนำเอาทองคำ หนังสัตว์ งาช้าง ลิงบาบูน ไม่เนื้อแข็ง ฯลฯ กลับมายังอียิปต์นอกจากนี้ยังส่งคณะทูตเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆที่พระราชบิดาทรงตีได้ ทำให้ได้รับ เครื่องราชบรรณาการมากมายเมื่อเศรษฐกิจดีข้นงานชิ้นแรกคือ ฟื้นฟูบูรณะซากปรักหักพังที่เกิดจากสงครามกู้อิสรภาพจากฮิกซอส ซึ่งได้จัดตั้งราชวงศ์ที่ 15และครอบครองอียิปต์กว่าหนึ่งร้อยปีเจ้านายอียิปต์รวบรวมกำลังขับไล่กษัตริย์ชาวฮิกซอสไป และสถาปนาราชวงศ์ที่ 18พร้อมกับการเริ่มยุค อาณาจักรใหม่หลังจากนั้นก็ทรงสร้างวิหารขนาดใหญ่อุทิศแก่พระราชบิดาที่คาร์นัคสร้างวิหารแบบเจาะเข้าไปในหน้าผาที่เบนอี ฮัสซัน อยู่ตอนกลางของประเทศทว่างานสถาปัตยกรรมในสมัยของพระนางที่เด่นเป็นสง่า และ ครอบครองความอันเป็นเอกมาจนถึงทุกวันนี้ ได้แก่วิหารประกอบพิธีศพที่ดาร์อี อัล บาห์รี ซึ่งอยู่ในเขต "นครแห่งความตาย"



ตามโบราณสถานต่าง ๆ รูปแกะสลักขององค์ฟาโรห์จะใหญ่มหึมาส่วนขององค์ราชินีที่ยืนเคียงคู่นั้นมีขนาดเล็กนิดเดียว โดยทั่วไปซุกอยู่แถว ๆ หน้าแข้งขององค์ฟาโรห์ทำให้ทราบไปถึงฐานะของสตรีอียิปต์โบราณช่างต่ำต้อยเหลือเกิน มีสิทธิ์ไม่เท่าเทียมชายผู้หญิงสี่คน แหวกโค้งประเพณีขึ้นไปนั่งบัลลังก์หนึ่งนั้นคือคลีโอพัตรา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรุงโรมอีกสองเป็นแค่ประเดี๋ยว เดียว ไม่ถึง10 วันแต่กรณีของพระนางฮัตเซปสุตแตกต่างจากคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิงพระนางได้ขึ้นครองราชย์ด้วยความสามารถของตนเองทั้งได้รับความเห็นชอบ จากขุนนางฝ่ายศาสนจักร และ ทหาร ทรงเก่งทั้งด้านศิลปะ การพาณิชย์ให้อยู่ในฐานันดรศักดิ์ ฟาโรห์หญิงองค์แรก และ องค์เดียวของปฐพี อียิปต์โบราพระราชบิดาของเจ้าหญิงฮัตเซปสุต คือ ธุตโมสที่ 1ทรงเป็นฟาโรห์จอมยุทธในรัชสมัยของ ธุตโมสที่ 1 ทรงทำสงครามขยายดินแดนออกไปกว้างไกลและในปลายรัชสมัยของพระองค์ทรงมองเห็นความสามารถปราดเปรื่องในพระราชธิดาองค์นี้อีกทั้งพระนางประสูติจากอัครมเหสีซึ่งมีสิทธิ์เต็มที่ อันที่จะขึ้นครองราชย์เป็นราชินีร่วมกับเจ้านายในราชวงศ์ใกล้ชิดอีกองค์ ธุตโมสที่ 1 จึงทรงแต่งตั้งให้เจ้าหญิงฮัตเซปสุตได้นั่งบัลลังก์ร่วมกับ พระองค์ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนอย่างสุดกำลังโดยกฎการสืบสันตติวงศ์ของอียิปต์โบราณฟาโรห์ และ ราชินีจะต้องสืบสายโลหิตเดียวกัน แต่เนื่องจากอนุชาทั้งสองของเจ้าหญิง ฮัตเซปสุตสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ผู้ที่จะอภิเษกสมรสกับพระนาง และ ขึ้นดำรงตำแหน่งฟาโรห์จึงได้แก่โอรสของธุตโมสที่ 1 ที่ประสูติ จากพระชายารอง พอได้ขึ้นครองราชย์จึงได้เป็นธุตโมสที่ 2ร่วมกับพระนางฮัตเซปสุตผู้เป็น ราชินีธุตโมสที่ 2 ทรงเป็นบุคคลอ่อนแอทั้งทางกาย และ ใจ พระนางฮัทเซปซุท ทรงรัก และ สงสารน้ององค์นี้มากทรงให้ดูแลอย่างดีแต่หลังจากนั่งบัลลังก์ได้ราว 8 ปี ธุตโมสที่ 2 ก็สิ้นพระชนม์แต่เนื่องจากกฎมณเฑียรบาล ไม่ยอมให้สตรีขึ้นครองราชย์ตามลำพัง พระนางก็ไม่มีพระโอรสจึงเห็นว่าโอรสของธุตโมสที่ 2 ที่ประสูติจากนางสนมชั้นผู้น้อย ซึ่งขณะนั้นมีพระชนม์เพียง 10 ชันษาเป็นผูที่เหมาะสมกับตำแหน่งฟาโรห์มากที่สุดแต่เนื่องด้วยธุตโมสที่ 3 ยังเยาว์พระชันษาแรก ๆ พระนางฮัตเซปสุตทรงอยู่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแต่ต่อมาเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่ เข้าทางก็ให้ทรงมอบอำนาจให้ ธุตโมสที่ 3 ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งนักบวชของจอมเทพอามอน และพระนางเองก็เสด็จขึ้นเป็นฟาโรห์ผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการ ปกครองราชอาณาจักรทั้งอียิปต์บน และ ล่าง ฮัตเซปสุตขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความรู้สึกยินดีของข้าราชสำนักเพราะทรงสะสมอำนาจมาตั้งแต่ ปลายรัชสมัยของพระราชบิดา ทุกฝ่ายเป็นสมัครพรรคพวกของพระนางและพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ มีแต่ประชาราษฎร์ที่นึกแปลกใจเพราะไม่เคย เห็นสตรีคนไหนกล้าประกาศตัวครองราชย์เป็นฟาโรห์แต่ผู้เดียว อย่างเก่งที่สุดก็ร่วมบัลลังก์กันโดยอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่องค์ฟาโรห์เพิ่งจะมีครั้งนี้ แหละที่ฮัตเซปสุตตัดสินพระทัยในสิ่งที่คนทั่วไปไม่คิดว่าจะทรงกระทำนั่นคือเวลาเสด็จออกประทับบนบัลลังก์ในท้องพระโรง ราชินีฮัตเซปสุตที่เคยงามอย่างสตรีเพศก็แปลงโฉมจนแทบจำไม่ได้ ไม่ว่าฉลองพระองค์ สวมมงกุฎแฝด ของอียิปต์ตอนบน และ ล่างมีคฑาในพระหัตถ์ ฯลฯสิ่งเหล่านี้ล้วนนำความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น แต่ไม่เท่ากับราชินีของพวกเค้าทรงมีเครายาวลงมาถึงหน้าอก ผู้ที่แต่งองค์ครบเครื่องเช่นนนี้ได้จะต้องมีเพียงหนึ่งเดียวบนแผ่นดินอียิปต์เท่านั้นคือองค์ฟาโรห์หลังจากจัดระบบภายในเรียบร้อยแล้วฮัตเซปสุตก็เริ่มทรงงานพาณิชย์ และ งานต่างประเทศซึ่งลือกันว่าถนัดที่สุดทรงส่งคณะไปสำรวจ ชายฝั่งทะเลแดง จนถึงอาณาจักรพันต์ (ปัจจุบันคือประเทศโซมาเลีย) ซึ่งร่ำรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และนำเอาทองคำ หนังสัตว์ งาช้าง ลิงบาบูน ไม่เนื้อแข็ง ฯลฯ กลับมายังอียิปต์นอกจากนี้ยังส่งคณะทูตเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆที่พระราชบิดาทรงตีได้ ทำให้ได้รับ เครื่องราชบรรณาการมากมายเมื่อเศรษฐกิจดีข้นงานชิ้นแรกคือ ฟื้นฟูบูรณะซากปรักหักพังที่เกิดจากสงครามกู้อิสรภาพจากฮิกซอส ซึ่งได้จัดตั้งราชวงศ์ที่ 15และครอบครองอียิปต์กว่าหนึ่งร้อยปีเจ้านายอียิปต์รวบรวมกำลังขับไล่กษัตริย์ชาวฮิกซอสไป และสถาปนาราชวงศ์ที่ 18พร้อมกับการเริ่มยุค อาณาจักรใหม่หลังจากนั้นก็ทรงสร้างวิหารขนาดใหญ่อุทิศแก่พระราชบิดาที่คาร์นัคสร้างวิหารแบบเจาะเข้าไปในหน้าผาที่เบนอี ฮัสซัน อยู่ตอนกลางของประเทศทว่างานสถาปัตยกรรมในสมัยของพระนางที่เด่นเป็นสง่า และ ครอบครองความอันเป็นเอกมาจนถึงทุกวันนี้ ได้แก่วิหารประกอบพิธีศพที่ดาร์อี อัล บาห์รี ซึ่งอยู่ในเขต "นครแห่งความตาย"